About Us

 “วัน-แคป” อาหารเสริมระดับพรีเมี่ยมจากธรรมชาติ 

วัน-แคป คืออาหารเสริมที่รวมเอาสารสกัดสำคัญที่มีประโยชน์จากสมุนไพรระดับพรีเมี่ยมหลากหลายชนิดเข้าด้วยกันซึ่งได้ถูกบรรจุในปริมาณที่เข้มข้นอย่างสูงรวมอยู่ในแคปซูลเพียง“เม็ดเดียว” ที่เพียงพอในการบำรุงและรักษาสุขภาพ ในหนึ่งเม็ดแคปซูลประกอบไปด้วยสารสกัดจากเห็ดถั่งเฉ้าทิเบต โสมเกาหลี เห็ดหลินจือ โกจิเบอรรี่ รากต้นแดนดิไลอัน บร็อกโคลี่ และเบต้ากลูแคน นอกเหนือจากสารสกัดข้างต้นยังมีวิตามิน PreMix(A,B,C,E) ในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อเสริมให้ร่างกายได้รับสารอาหารและแร่ธาตุที่ต้องการให้ครบถ้วน สารสกัดในวัน-แคปจะช่วย 

  • เพิ่มความแข็งแรง ลดความอ่อนเพลีย ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า มีพละกำลัง
  • เพิ่มภูมิคุ้มกัน ต่อต้านโรคภัย ลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง
  • เร่งการขับสารพิษออกจากร่างกาย

"วัน-แคป" ได้ถูกวิจัยและคิดค้นขึ้นเพื่อช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามีพละกำลังมีความแข็งแรงสามารถต่อต้านโรคภัยต่างๆได้โดยจะเข้าไปปรับระบบการทำงานภายในของร่างกายโดยรวมให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดผ่าน การกำจัดของเสียออกจากตับและไต ปรับสมดุลและเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย รวมไปถึง ปรับการทำงานของไตและระบบหมุนเวียนของเลือด ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สารสกัดของวัน-แคปมาจากแหล่งวัตถุดิบชั้นนำทั้งในและนอกประเทศผ่านกระบวนการผลิตจากโรงงานที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลอีกทั้งยังได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์การอาหารและยา (อ.ย. เลขที่ 13-1-02954-1-0667)  ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ว่าในทุกแคปซูลของวัน-แคปนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยสารสกัดเข้มข้นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและมีปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน วัน-แคปใช้สารสกัดที่มาจากธรรมชาติจึงปลอดภัยจากสารตกค้างไม่มีผลข้างเคียงและไม่ก่อให้เกิดการสะสมในร่างกายเมื่อรับประทานเป็นเวลานาน นอกจากนี้การบริโภควัน-แคปเพียง “เม็ดเดียว” ซึ่งพอเพียงต่อความต้องการของร่างกายจะช่วยให้ผู้บริโภคลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเลือกอาหารเสริม


Ingredient

บร็อคโคลี่

(Broccoli)

สารสกัดจากรากแดนดิไลอัน 
(Dandelion Root Extract)
 สารสกัดจากโสม 
 (Ginseng Extract Powder)
สารสกัดจากถั่งเฉ้าทิเบต
(Cordyceps Sinensis Extract)
สารสกัดจากเห็ดหลินจือ
(Reishi Extract Powder)
สารสกัดจากเม็ดเก๋ากี้ 
(Wolfberry Extract Powder)
เบต้ากลูแคน 
(Beta Glucan)

Benefit

 

1.บำรุงร่างกายให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า มีพละกำลังลดความอ่อนเพลียและ ต่อต้านความเครียด
โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการหมุนเวียนของเลือดให้ดีขึ้น เพิ่มปริมาณของเลือดที่เข้าไป อด สมอง และ หัวใจให้มากขึ้น รวมไปถึงการช่วยกระตุ้นต่อมใต้สมอง ให้ผลิตฮอร์โมนต่อต้านความเครียดเพื่อช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย

 

2.เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยต้านอนุมูลอิสระ
โดยปรับสมดุลและกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีความต้านทานการเกิดโรคได้ ดีขึ้นช่วยต้านอนุมูลอิสระภายในร่างกาย และลดอัตราการเกิดเซลล์มะเร็ง เปรียบเสมือน การสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย

 

3.ช่วยขจัดสารพิษที่คั่งค้างออกจากตับและไต
เพื่อให้ตับและไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและส่งผลให้ของเสียไม่สะสมในร่าง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตและไหลเวียนของน้ำดีในตับ

Prevention

 

ท่านสามารถอ่านบทความเรื่องความเสี่ยงต่างๆได้  โดยการคลิ๊กที่หัวข้อความเสี่ยงนั้นๆ

 

 

ผลเสียจากการทำงานหนัก

 

 

ผลเสียของการทำงานหนักเกินไป

 

พูดถึงการทำงานหนักในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า การทำงานแบกหาม หรือใช้แรงงาน หรอกนะคะ แต่หมายถึงการทำงานออฟฟิศของมนุษย์เงินเดือนแบบเรา ๆ โดยตรงค่ะ jobsDB จะชวนคุณมาสำรวจตัวเองว่า คุณทำงานหนักไปหรือเปล่า และจะเกิดผลเสียอะไรตามมาบ้าง ตามหลักแล้ว คนเราไม่ควรทำงานเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่หลายคน ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตนเองยังคงต้องทำงานทั้ง ๆ ที่อยู่นอกเวลางาน วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ วันหยุดนักขัตฤกษ์ รวมถึงวันหยุดพักผ่อนประจำปีด้วย เอ..แล้วใครกันนะ ที่ทำงานหนักขนาดนั้น ใช่คุณหรือเปล่าที่มีพฤติกรรมแบบนี้

  • เอางานกลับมาทำที่บ้าน
  • อยู่บ้านก็ต้องเช็กอีเมลเรื่องงานเป็นประจำ
  • คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปิดโทรศัพท์ ต้องสแตนด์บายตลอดเวลา หากมีงานด่วนเข้ามา
  • ต้องพกโทรศัพท์มือถือของบริษัท เพื่อสะดวกในการติดต่อเรื่องงาน ได้ตลอดเวลา
  • ต้องเกาะติด เพื่อเป็นคนแรกที่รู้ข่าวสารเกี่ยวข้องกับงานก่อนคนอื่นเสมอ
  • คิดว่าเพราะมีสมาร์ทโฟนทำให้เข้าถึงข้อมูลการทำงานได้ง่าย สามารถ ทำงาน ที่ไหน เมื่อไรก็ได้

          พฤติกรรมเหล่านี้เองที่บ่งบอกว่าคุณทำงานหนักเกินไป ซึ่งการไม่ปล่อย วางเรื่องงานอาจทำให้คุณเหนื่อยเกินไป หมดพลัง ขาดแรงจูงใจ และส่งผล ให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง โดยพบว่า ผู้ที่ทำงานล่วงเวลามักมีอาการ ปวดหัว เหนื่อย หงุดหงิดง่าย นอนไม่หลับ และอาจเกิดโรคต่าง ๆ จากการ ทำงานได้ด้วย นอกจากส่งผลต่อร่างกายและจิตใจแล้ว ยังอาจเกิดปัญหา ครอบครัวตามมาอีกด้วย ปัจจุบันพบว่า อัตราการหย่าร้างจากการที่ฝ่ายหนึ่ง ให้ความสำคัญกับงานมากจนไม่สนใจที่จะพักผ่อนหรือใช้เวลาร่วมกับ ครอบครัว มีเพิ่มขึ้น

          หากทำงาน นอกเวลางานหรือในวันหยุดเป็นประจำจะทำให้คุณเสพติดการทำงาน และยิ่งคุณได้รับคำชมหรือการยกย่องเชิดชูจากการอุทิศตนทำงานหนักเช่นนั้น ยิ่งทำให้คุณเกิดทัศนคติว่า หากคุณหยุดทำงานนอกเวลาเมื่อไร คุณก็จะไม่มีคุณค่า ดังนั้นสมองคุณก็จะสั่งให้คุณทำงาน ทำงาน และทำงานตลอดเวลา

ผลเสียของการทำงานหนัก          เมื่อทำงาน มากเกินไป สมองก็ล้า คนทำงานจึงมักหาสิ่งกระตุ้น เช่น กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ของหวานต่าง ๆ ในขณะที่ไม่ได้รับประทานอาหารมีประโยชน์ที่ร่างกายต้องการอย่างแท้จริง หากปล่อยไปนานเข้า กลไกภายในร่างกายก็จะค่อย ๆ เสื่อมประสิทธิภาพ ทำให้อ่อนแอ เจ็บป่วยได้ง่าย และเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

          ทางออกของ ปัญหานี้อยู่ที่การบริหารจัดการเวลาให้ดี จัดลำดับความสำคัญงานที่ต้องทำให้เสร็จภายในเวลางานแต่ละวัน เมื่อเลิกงานควรกลับบ้านและพักผ่อนจนถึงเช้า โดยไม่ต้องคิดกังวลเรื่องงานอีก ในวันหยุดพักผ่อน ควรเป็นเวลาของการพักผ่อนอย่างแท้จริงเพื่อเติมพลังให้ชีวิตของคุณ สามารถกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีแรงจูงใจในการทำงานต่อไป

 

https://th.jobsdb.com/th-th/articles/

ผลเสียจากภาวะความเครียด

 

ผลเสียจากภาวะความเครียด

 

เมื่อเราเข้าสู่ภาวะความเครียด ร่างกายของเราก็จะเกิดความผิดปกติในการทำงาน ทำให้ร่างกายทำงานด้อยประสิทธิภาพลง ซึ่งอาจจะสังเกตให้เห็นได้ตั้งแต่อาการเพียงเล็กน้อย จนถึงอาการที่หนักหนา ยิ่งความเครียดสะสมมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น โดยเมื่อร่างกายของเราเผชิญหน้ากับความเครียดก็จะะส่งผลดังนี้
 

ผลกระทบสุดแย่ ที่เกิดเพราะแค่คุณเครียด

คอแห้ง

           หลายคนคงเคยรู้สึกว่าทำไมเวลาที่เครียดถึงรู้สึกว่าคอแห้งเหลือเกิน เวลาจะพูดคุยกับใครก็รู้สึกว่าเสียงตัวเองแหบแห้ง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเมื่อร่างกายของเราเกิดความเครียด กล้ามเนื้อบริเวณลำคอของเราจะเกิดการหดตัว และน้ำบริเวณนี้จะโยกย้ายไปอยู่ที่ส่วนอื่นของร่างกาย ทำให้คอของเราแห้งและกลืนอาหารหรือน้ำได้ลำบากนั่นเองค่ะ

ปฏิกิริยาต่อตับ

           เมื่อเกิดความเครียด ตับของเราก็จะทำงานผิดปกติทำให้ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) หรือที่เรียกว่าฮอร์โมนความเครียด โดยเจ้าฮอร์โมนชนิดนี้เป็นต้นเหตุทำให้ตับผลิตน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้ให้พลังงานสูง แม้ว่าจะสามารถดูดซึมกลับได้โดยไม่เกิดความเสียหายใด ๆ ในร่างกาย แต่มันก็เพิ่มความเสี่ยงโรคเบาหวานที่จะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเช่นเดียวกันค่ะ



ผลกระทบสุดแย่ ที่เกิดเพราะแค่คุณเครียด

ปฏิกิริยาต่อผิวหนัง

           ความเครียดทำให้เราเหงื่อออกได้แม้จะอยู่ในอากาศที่เย็นก็ตาม นอกจากนี้ยังส่งผลให้แก้มของเราแดงระเรื่ออีกด้วย เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งคิดว่าคนที่หน้าแดงนั้นเป็นเพราะเขาเขินนะคะ แต่อาจจะเป็นเพราะเขากำลังเครียดอยู่ก็ได้ ซึ่งอาการเหล่านี้เกิดจากระบบไหลเวียนของเลือดที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เลือดถูกผลักดันไปที่กล้ามเนื้อมากจนเกินไป และถ้าหากเกิดความเครียดเรื้อรังก็จะส่งผลทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำและแก่ก่อนวัยได้ นอกจากนี้ การศึกษาของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ยังพบอีกว่า ความเครียดและความวิตกกังวลอาจนำมาสู่โรคผิวหนังอักเสบได้อีกด้วย

ม้ามทำงานอย่างหนัก

           ความวิตกกังวลไม่ได้แค่เพียงส่งผลต่อสมองและหัวใจเท่านั้น แต่มันยังส่งผลเสียต่อการทำงานของม้ามและเซลล์เม็ดเลือดของเรา  ซึ่งความเครียดจะส่งผลให้ม้ามหลั่งเซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์เม็ดเลือดขาวออกมาในจำนวนมหาศาล และทำให้ระบบไหลเวียนของเลือดเพิ่มขึ้นถึง 300 - 400%

กล้ามเนื้อตึง

           เมื่อเราเริ่มรู้สึกวิตกกังวล กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะเริ่มตึงเครียดด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มกล้ามเนื้อที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งถ้าหากเกิดความเครียดเรื้อรังก็อาจส่งผลทำให้เกิดอาการปวดหัว ไหล่แข็งและปวดคอ หรือแม้แต่อาการปวดไมเกรน นอกจากนี้ผู้ที่มีความเครียดเรื้อรังก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติอย่างเรื้อรังของกล้ามเนื้อได้



ผลกระทบสุดแย่ ที่เกิดเพราะแค่คุณเครียด

           นอกจากนี้ความเครียดและความวิตกกังวลถ้าหากเกิดขึ้นเรื้อรัง ก็สามารถทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่อันตรายมากขึ้นได้ โดยส่งผลต่อร่างกายดังนี้

ต่อหัวใจ

           ความเครียดหรือความวิตกกังวลที่เรื้อรังส่งผลให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงโรคความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนความเครียดที่มีมากเกินไป โดยสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยอีกว่า ความเครียดในระยะยาวเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดได้

ต่อปอด

           การศึกษาจากมหาวิทยาลัยเซาเปาโลแสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างความเครียดและวิตกกังวลกับโรคหอบหืด และผู้ที่เป็นโรคหอบหืดก็มีแนวโน้มที่จะพบกับอาการหวาดผวาได้อีกด้วย ซึ่งในการศึกษาพบว่าความเชื่อมโยงของความเครียดที่เรื้อรังและโรคหอบหืดมีผลกระทบอยู่ในอัตราส่วนที่สมดุลกัน นอกจากนี้ยังทำให้การทำงานของระบบทางเดินหายใจอ่อนแอลงด้วยค่ะ



ผลกระทบสุดแย่ ที่เกิดเพราะแค่คุณเครียด


ต่อสมอง

           สมองเป็นอวัยวะที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียดเรื้อรังมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านจิตใจหรือกายภาพ ซึ่งความเครียดเรื้อรังสามารถส่งผลต่อความจำไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว รวมทั้งการผลิตสารเคมีในสมอง นอกจากนี้ความเครียดระยะยาวยังทำให้ระบบประสาททำงานหนักขึ้น จนร่างกายเกิดความเมื่อยล้าและอาการปวดต่าง ๆ ได้ และความเครียดที่เรื้อรังยังกระทบต่อการนอนหลับทำให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอค่ะ

ต่อระบบภูมิคุ้มกัน

           ความเครียดไม่เพียงส่งผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันด้วยเช่นกัน โดยการศึกษาพบว่าเมื่อคนเราเครียด ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นไข้หวัดได้ง่ายขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการอักเสบได้มากขึ้น

ต่อระบบย่อยอาหาร

           อาการท้องผูก อาหารไม่ย่อย หรือภาวะเครียดลงกระเพาะ อาการเหล่านี้เป็นผลกระทบมาจากความเครียด ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงในระยะยาวต่อระบบลำไส้ได้ ทำให้การดูดซึมและการย่อยอาหารไม่ดีเท่าที่ควร และเป็นสาเหตุภาวะลำไส้แปรปรวนได้

           ไม่เพียงแค่นั้น ความเครียดยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วนได้ โดยจากการศึกษาพบว่าระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานจะลดความไวของอินซูลินในเลือดได้ ทำให้อินซูลินไวต่อระดับน้ำตาลในเลือดลดลง นอกจากนี้ยังมีการงานวิจัยอื่น ๆ ค้นพบความเชื่อมโยงระหว่างผู้ที่มีความเครียดกับการหายของแผลอีกด้วยเช่นกัน

           ความเครียดและความวิตกกังวลเป็นสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว ดังนั้นสิ่งที่ควรจะทำคือการลดภาวะความเครียดของตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ แต่ก็ต้องเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพด้วยนะคะ เพราะถ้าหากเราใช้วิธีผิด ๆ อย่างเช่นการพึ่งแอลกอฮอล์ ยาเสพติด หรือการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ก็อาจจะทำให้สุขภาพของเรายิ่งแย่กว่าเดิม คราวนี้ล่ะอาจจะทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อกันได้ง่าย ๆ เลยนะ

 

http://health.kapook.com/view102946.html

ผลเสียจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

 

 

 

ผลเสียจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ

 

 


          ผลเสียของการนอนดึก นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ กระทบกับเราอยู่หลายประการเลยทีเดียว และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราอายุสั้นลงด้วยนะ ดังนั้น ใครที่ชอบอดหลับอดนอนควรตั้งใจอ่านให้ดีเชียว  
 
          คำพูดยอดฮิตของคุณหมอที่มักจะย้ำเราเสมอว่า "ควรนอนพักผ่อนเพียงพอ" นั้นอาจไม่ใช่แค่ประโยคบอกเล่าธรรมดา ๆ ซะแล้ว เพราะเท่าที่ดูจากผลงานวิจัยหลายชิ้นที่รวบรวมอยู่ในเว็บไซต์ Bussinessinsider.com แล้วพบว่า แค่การนอนหลับไม่เพียงพอในแต่ละคืนก็สามารถเกิดผลกระทบต่อสุขภาพเราได้อย่างมหาศาลเลย มาดูกันดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรานอนหลับไม่เพียงพอบ่อย ๆ


อารมณ์แปรปรวน
           
          จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ในสหรัฐฯ เผยว่า ผู้ที่มีค่าเฉลี่ยชั่วโมงการนอนเพียง 4.5 ชั่วโมงในแต่ละคืน เป็นเวลา 1 สัปดาห์นั้น มีแนวโน้มจะเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนกว่าคนที่นอนประมาณ 7 ชั่วโมงต่อคืน โดยที่อารมณ์แปรปรวนเหล่านั้นจะผสมปนเปกันไประหว่างความรู้สึกเครียด เศร้า ท้อแท้ โมโห หงุดหงิด ซึ่งปกติแล้วธรรมชาติของเราสามารถควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ได้ แต่เมื่อไรที่เรานอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะมีประสิทธิภาพในการควบคุมอารมณ์ของตัวเองลดต่ำลง
 

25 สัญญาณร้ายจะมาเยือน


ปวดหัว
           
          แม้ว่าจะยังไม่มีนักวิจัยคนไหนกล้าฟันธงว่าการนอนไม่พอเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปวดหัว แต่ก็ยังมีปัจจัยบางอย่างที่สามารถอธิบายได้นั่นคือ การนอนน้อยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ อาการปวดหัวจึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวปวดไมเกรนนั้น มีโอกาสสูงที่อาการจะกำเริบมากกว่าคนที่ไม่เป็นไมเกรน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนส่วนใหญ่ที่นอนน้อยแต่ไม่มีอาการปวดหัวในตอนเช้า ในขณะที่มีคนอีกร้อยละ 36-58 นอนไม่หลับในตอนกลางคืน แล้วตื่นเช้ามามีอาการปวดหัวเล็กน้อย


เรียนรู้ช้าลง
           
          การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลให้สมองเรียนรู้ช้าลงได้จริง จากผลการสำรวจในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ที่มีการเลื่อนเวลาเข้าเรียนจาก 7 โมงครึ่งเป็น 8 โมงครึ่ง พบว่า ผลคะแนนการสอบในวิชาเลขและการอ่านของนักเรียนเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2 และร้อยละ 1 ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถอธิบายได้ว่าการเพิ่มเวลาการนอนหลับสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และจดจำให้สมองได้มากขึ้น
 

อ้วนขึ้น
                       
          คนที่นอนไม่พอในตอนกลางคืนมีแนวโน้มน้ำหนักเพิ่มขึ้นง่ายกว่าคนที่นอนหลับเต็มอิ่ม เพราะการที่ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้น จะทำให้เรามีความอยากอาหารมากขึ้น โดยที่สมองจะสั่งให้เราอยากกินแต่อาหารที่มีแคลอรี่สูงเพื่อนำมาใช้เผาผลาญเป็นพลังงานแก่ร่างกาย เราจึงมีแนวโน้มน้ำหนักตัวขึ้นง่ายจากอาหารที่มีแคลอรี่สูงเหล่านี้นั่นเอง


สายตาพร่ามัว
           
          การนอนไม่พอมีผลทำให้สายตาของเราพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด และหากนอนไม่พอติดต่อกันเป็นเวลาหลายคืนอาจมีอาการเห็นภาพหลอนด้วย มีงานวิจัยหนึ่งเผยว่า ตาของเราควรได้รับการพักผ่อนในตอนกลางคืนอย่างน้อย 5 ชั่วโมง เพื่อการฟื้นฟูเซลล์ที่สึกหรอไปในระหว่างการใช้งานในแต่ละวัน และถ้าหากนอนน้อยกว่านั้นก็จะเกิดอาการกล้ามเนื้อตากระตุก หรือตาเขม่นดังเช่นที่ใครหลายคนเข้าใจว่าเกี่ยวข้องกับโชคลาง ซึ่งความจริงแล้ว อาการกล้ามเนื้อตากระตุก หนังตาเขม่น มองเห็นเป็นภาพซ้อน เบลอ หรือพร่ามัว ก็มาจากที่เซลล์กล้ามเนื้อบริเวณดวงตาไม่ได้รับการซ่อมแซมตัวเองอย่างสมบูรณ์



25 สัญญาณร้ายจะมาเยือน


โรคหัวใจ
           
          นักวิจัยเคยได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่นอนเลยเป็นเวลา 88 ชั่วโมง ผลคือ พวกเขามีระดับความดันเลือดสูงมาก และเมื่อเปลี่ยนมาให้กลุ่มอาสาสมัครนอนนาน 4 ชั่วโมงใน 1 คืน ผลคือ อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในระดับปกติ ค่าเฉลี่ยการเต้นของหัวใจใกล้เคียงกับคนที่ได้นอนปกติ  และสิ่งที่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจก็คือ สารโปรตีนที่มีสะสมตัวมากขึ้นในขณะที่เราตื่น และจะถูกขับออกจากร่างกายโดยธรรมชาติเมื่อเราหลับ ดังนั้นหากใครที่อดนอน หรือนอนน้อยเป็นเวลานานจึงเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้


เฉื่อยชา
           
          ทีมนักวิจัยเคยได้ทำการทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่เป็นนักเรียนนายร้อย เพื่อหาคำตอบว่าการนอนไม่พอนั้นมีผลทำให้มีอาการเฉื่อยชาจริงหรือไม่ จึงได้ทำการแบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่ม โดยจัดให้กลุ่มหนึ่งห้ามนอน อีกกลุ่มหนึ่งนอนตามปกติ จากนั้นให้อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มทำแบบทดสอบทั้งหมด 2 ครั้ง ผลปรากฏว่า กลุ่มอาสาสมัครที่ได้นอนอย่างเพียงพอนั้นมีการตอบโต้ และมีการตัดสินใจที่รวดเร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้นอน ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า การนอนไม่พอทำให้ร่างกายของเราเฉื่อยชา มีการตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างช้าลง   

ระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง
           
          การนอนไม่พอมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคทำงานแย่ลง เพราะกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายจะขัดขวางการทำงานของจุลินทรีย์ ส่งผลให้การฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ผิดปกติไปจากเดิม ผลคือ หากเป็นแผลจะหายช้า หรือถ้าเป็นโรคเสื่อม เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง  ร่างกายก็จะติดเชื้อง่ายขึ้น



25 สัญญาณร้ายจะมาเยือน


การตัดสินใจผิดพลาด
           
          คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่า คืนก่อนวันสำคัญจะมาถึง ควรเข้านอนแต่หัวค่ำ และการนอนเต็มอิ่มก็จะทำให้ร่างกายเราสดใส กระปรี้กระเปร่าในเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ความจริงแล้วมีเหตุผลมากกว่านั้นซ่อนอยู่ คือ การนอนไม่พอจะทำให้สมองประมวลความคิดช้าที่อาจส่งผลให้เราตัดสินใจผิดพลาดได้


ปัสสาวะบ่อย
           
          อาการฉี่รดที่นอน และการตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนกลางคืนก็เป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายกำลังได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ เพราะตามธรรมชาติแล้วระบบขับปัสสาวะในร่างกายจะทำงานตามนาฬิกาชีวิตของเรา โดยกล้ามเนื้อหูรูดในท่อปัสสาวะจะไม่ทำงานในตอนกลางคืน และยังมีความแข็งแรงมากที่จะกลั้นปัสสาวะของเราเอาไว้ตลอดเวลาที่เราหลับ ดังนั้นคนที่นอนไม่พอเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดในท่อปัสสาวะอ่อนแอลงได้ 


ไม่มีสมาธิ
           
          การนอนไม่พอส่งผลให้กิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิทำได้แย่ลง เช่น ขับรถ ยิงปืน ล่องเรือใบ และขี่จักรยาน เพราะสมองไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ส่งผลให้เราร่างกายอยู่ภาวะมึนงงตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้


ลดประสิทธิภาพของวัคซีน
           
          การนอนหลับไม่เพียงพอก็มีผลทำให้การฉีดวัคซีนไม่ได้ผล ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างแอนติบอดี้ขึ้นมาได้ ดังนั้นวัคซีนที่ฉีดเข้าไปจึงไม่มีผลใด ๆ ต่อการรักษาหรือป้องกันโรคเลย  เคยมีผลการทดลองในหัวข้อนี้ด้วย คือ ให้อาสาสมัครทั้งหมด 19 คน ฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ โดยที่มีอาสาสมัคร 10 คนนอนหลับในแต่ละคืนนาน 8 ชั่วโมง ในขณะที่ 9 คนที่เหลือนั้นนอนน้อยกว่า 8ชั่วโมง จากนั้น 4 สัปดาห์ต่อมามีการตรวจร่างกายวัดผลประสิทธิภาพของวัคซีน พบว่า ระดับสารแอนติบอดี้ในร่างกายของอาสาสมัครที่นอนหลับเพียงพอนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าคนที่นอนไม่พอเป็นสองเท่า


พูดจาไม่รู้เรื่อง 
               
          การนอนให้ได้คืนละ 7 ชั่วโมงนั้นฟังดูเหมือนเป็นกิจวัตรของเด็กอนามัย แต่ความจริงแล้ว เป็นหลักสากลที่เราควรทำ จากการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่นอนเลยเป็นเวลา 36 ชั่วโมงนั้นมีแนวโน้มเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่อง พูดติดขัด และพูดช้าลง ที่สำคัญคือ พวกเขาไม่สามารถพูดในสิ่งที่คิดออกมาได้ ทั้งนี้เป็นผลจากการที่สมองประมวลความคิดความอ่านช้า



25 สัญญาณร้ายจะมาเยือน


เป็นหวัด
           
          การนอนไม่พอมีผลทำให้ร่างกายเป็นหวัดบ่อยกว่าปกติ เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง จากผลการวิจัยส่วนใหญ่ เผยว่า ผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน มีโอกาสป่วยมากกว่าคนที่นอนเกิน 8 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสามเท่า และคนที่ใช้เวลานานกว่าจะหลับนั้นก็มีโอกาสป่วยง่ายกว่าคนที่หัวถึงหมอนแล้วหลับเลยถึง 5.5 เท่า


ระบบย่อยอาหารมีปัญหา 
           
          เคยมีรายงานระบุเอาไว้ว่า ชาวอเมริกันราว 250 คนที่มีพฤติกรรมนอนหลับไม่เพียงพอนั้น กลายเป็นผู้ป่วยโรค IBD หรือ โรคกลุ่มอาการลำไส้อักเสบเรื้อรัง ซึ่งมีผู้ป่วยร้อยละ 10-15 เป็นโรคโครห์น (Crohn's disease) โดยมีอาการท้องเสียปนเลือดเป็นครั้งคราว ปวดท้องจากการอักเสบหรือการบีบตัวของลำไส้ น้ำหนักลด ท้องอืด อาเจียน ซึ่งถึงแม้ว่าจะรักษาให้หายได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้อีกครั้งหากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ


เสี่ยงที่จะประสบอุบัติเหตุ
           
          อาชีพที่ต้องใช้สมาธิในการขับยวดยานพาหนะส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับการนอนมาก เช่น นักบิน คนขับรถสาธารณะ คนขับรถบรรทุกส่งของ เป็นต้น สาเหตุเป็นเพราะการนอนไม่พอสามารถทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า ส่วนหนึ่งมาจากความเหนื่อยล้าของร่างกาย ที่ทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับเส้นทางข้างหน้า การวูบหลับไปเพียงเสี้ยววินาทีก็สามารถเกิดเหตุอันน่าสลดได้แล้ว


สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง
           
          การนอนหลับไม่พอมีผลต่อกระบวนการสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนให้ต่ำลงได้ ส่งผลให้ความต้องการทางเพศลงต่ำลง ซึ่งภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศนั้นพบได้มากในผู้ป่วยที่เป็นโรคนอนไม่หลับ


มีอาการปวดเรื้อรัง
           
          จากผลการวิจัยในปี 2006 ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลีส เผยว่า คนที่เข้านอนในช่วงเวลาระหว่าง 5 ทุ่มถึงตี3 สารเคมีในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่องไปจากเดิม ทำให้ร่างกายของคนที่นอนไม่พอ หรือนอนน้อยไวต่อการปวดต่าง ๆ มากกว่าคนที่นอนในช่วงเวลาตั้งแต่หัวค่ำ
 

โรคเบาหวาน
           
          มีงานวิจัยหนึ่งพบว่า การนอนไม่พอทำให้ร่างกายเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งสามารถพัฒนาให้เป็นโรคเบาหวานประเภท 2ได้ แต่อย่างไรก็ตามกลับมีผลการวิจัย 4 ชิ้น ออกมาแย้งว่า สาเหตุการเป็นโรคเบาหวานนั้นไม่ได้มาจากการนอนไม่พอ แต่มาจากพฤติกรรมการกินเป็นส่วนใหญ่


ทำอะไรได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
           
          คนง่วง ๆ จะมีประสิทธิภาพในการทำงานลดต่ำลงมากกว่าปกติ เห็นได้จากผลวิจัยหนึ่งที่เผยว่า กลุ่มคนที่มีอาชีพต้องใช้สมาธิในการทำงานมาก ๆ เช่น ศัลยแพทย์ รวมทั้งนักกีฬาที่ต้องใช้สมาธิ เช่น นักกีฬายิงปืน นักกีฬาเรือใบ นักปั่นจักรยาน หากนอนไม่เพียงพอ จะมีโอกาสถึงร้อยละ 20-32 ที่จะทำงานออกมาผิดพลาด แสดงว่าการนอนไม่พอส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานจริง ๆ



25 สัญญาณร้ายจะมาเยือน


โรคมะเร็ง
           
          นักวิจัยส่วนใหญ่ตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นไว้ว่า โรคมะเร็งบางชนิดก็สามารถกำเริบได้ หากมีพฤติกรรมนอนน้อย เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ แต่สำหรับโรคมะเร็งชนิดอื่นนั้น ขึ้นอยู่กับการแบ่งตัวของเซลล์ในร่างกาย และพฤติกรรมการใช้ชีวิตมากกว่า


ขี้ลืม
           
          จากผลการวิจัยในปี 1924 เผยว่า ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมนอนน้อย เป็นผลให้เกิดการสะสมตัวของโปรตีนแอมีลอยด์ บีตา (Amyloid beta) ในเซลล์ประสาทหนาตัวขึ้นเป็นชั้น สมองจึงเสื่อม ในขณะเดียวกัน ยังส่งผลต่อโครงสร้างของรูปสมองให้เปลี่ยนไปอีกด้วย จึงเป็นผลที่ทำให้จดจำอะไรไม่ได้นาน 



25 สัญญาณร้ายจะมาเยือน



ระบบการทำงานของเซลล์ในร่างกายผิดปกติ
           
          ผลการวิจัยในปี 2013 เผยว่า การนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืนส่งผลให้กระบวนการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายผิดปกติ เป็นผลให้ระบบภูมิคุ้มกันพร่องลง และยังทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเครียดเพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งยีนบางชนิดที่ต้องทำงานตามนาฬิกาชีวิตนั้นจะค่อย ๆ ทำงานผิดปกติไปทีละนิด นั่นหมายความว่า หากเรานอนน้อยเป็นประจำ การทำงานของเซลล์ในร่างกายก็จะผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็นนั่นเอง 


ไม่มีความสุข
           
          ผลการวิจัยที่ได้รับรางวัลโนเบล ในสาขาจิตวิทยา เคยมีการทดลองเรื่องการนอนไม่หลับกับความสุขในชีวิตด้วย โดยให้กลุ่มอาสาสมัครที่เป็นผู้หญิงวัยทำงานจำนวน 909 คน เก็บรายละเอียดอารมณ์ และกิจกรรมในแต่ละวันของตัวเองเอาไว้ พบว่าพวกเธอมีความสุขในแต่ละวันน้อยมาก ทั้งที่แต่ละคนมีรายได<

การเสื่อมของเซลล์ และความชรา

 

 

 

การเสื่อมของเซลล์ และความชรา


อนุมูลอิสระ...เสื่อม...เหี่ยว...แก่...เกี่ยวกันอย่างไร?

พอร่างกายเราเจริญโติบโตเต็มที่ ประมาณอายุ 20 ปี ร่างกายก็จะเลิกผลิต Growth Hormone ความเสื่อมของร่างกายเราก็จะเริ่มตั้งแต่นั้นค่ะ แต่เนื่องจากเซลล์แต่ละส่วนของร่างกายเรามีหลายชนิด หลายองค์ประกอบ ดังนั้น การเสื่อมของเซลล์บางชนิด จะเสื่อมแล้วเสื่อมเลย แก้ไขไม่ได้ เช่น
เซลล์ประสาท บางเซลล์สามารถแบ่งตัวใหม่ได้ แต่ช้านิดนึง เช่น เซลล์ตับ เซลล์กระดูกอ่อน บางเซลล์สามารถแบ่งตัวได้เร็วสามารถสร้างใหม่ทดแทนเซลล์ที่เสื่อมไปได้ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์ผิวหนัง

 


สาเหตุหลักของการเกิดความเสื่อมของเซลล์ นั่นคือ อนุมูลอิสระ (Free Radical) เจ้าอนุมูลอิสระนี้มีคุณสมบัติเป็นโมเลกุลที่ไม่คงสภาพ คือจะมี อิเล็กตรอนอิสระไปทำลายแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของเซลล์อื่นๆ ในร่างกาย อนุมูลอิสระนี้จะเพิ่มมากขึ้นถ้ามีการได้สัมผัสกับสารก่อรังสี หรือ สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (Oxidation Reaction) โดยอนุมูลอิสระเหล่านี้จะมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีที่สำคัญภายในเซลล์ เช่น โปรตีน สารทางพันธุกรรมอย่าง DNA, RNA ทำให้อายุขัยของเซลล์สิ้นลง มีการเปลี่ยนแปลงหรือเสื่อมสภาพของเซลล์เร็วกว่าปกติ 

ความเสื่อมของเซลล์เป็นผลก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคไต โรคตับ เป็นต้น โรคเหล่านี้มีปัจจัยเสริมที่สนับสนุนให้เป็นเร็วขึ้น เช่น พฤติกรรมการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การได้รับสารพิษ สารเคมีหรือรังสีจากอาหารที่รับประทาน ภาวะความเครียดทางจิตใจ ซึ่งเมื่อมีภาวะความเสื่อมของเซลล์เกิดขึ้นที่อวัยวะหรือเซลล์หนึ่งๆ ก็จะมีผลกระทบไปถึงส่วนอื่นๆ ภายในร่างกายได้ง่าย โดยในระยะหลังจะมีโรคแทรกขึ้นตามมาจนกลายเป็นมากกว่าหนึ่งโรคในเวลาเดียวกัน ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ ในคนสูงอายุที่มักจะมีโรคที่เกิดร่วมกันมากกว่าหนึ่งโรค ขึ้นไป

ร่างกายเราเองก็มีขบวนการในการป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ก่อนกำหนดนี้ได้เหมือนกัน โดยร่างกายจะมีการสังเคราะห์ Enzyme ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เช่น Enzyme Glutathione Peroxidase, Enzyme Super Oxide Dismutase หรือ Enzyme Catalase เป็นต้น จึงสามารถชะลอความเสื่อมสภาพของเซลล์ และทำให้เซลล์เหล่านั้นมีอายุยืนยาวขึ้น แต่เนื่องจากปัจจัยที่ืำให้เกิดอนุมูลอิสระมีมากมาย ดังนั้น การรอให้ร่างกายทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระเองอาจจะไม่เพียงพอแล้ว สังเหตุได้ง่าย สาวๆหนุ่มๆ อายุยังไม่เยอะ แต่ผิวพรรณไม่สดใสแล้ว ดังนั้น จะรอพึ่งแต่ครีมบำรุงผิวอย่างเีดียวไม่พอแล้วค่ะ แอดมินเลยมีข้อมูลสารอาหารที่ช่วยในเรื่องการชะลอความเสื่อมของเซลล์มาฝากแฟนเพจค่ะ

Beta-Carotene 
เป็นรงควัตถุสีส้ม เหลืองพบมากในผักเช่น หัวแครอท หัวผักกาดแดง มีคุณสมบัติเป็นสาร Antioxidants ที่ดี โดยจะไปแย่งทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระเสียก่อน แล้วขับถ่ายออกจากร่างกาย จึงสามารถป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ดี รวมถึงการชะลอความแก่เนื่องจากการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังด้วย 

Vitamin C & ทั้ง Vitamin C & Citrus Bioflavonoids 
จะทำงานเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันในการเป็นCitrus Bioflavonoids สาร Antioxidants ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ลดอัตราการเสื่อมของเซลล์มะเร็ง นอกจากนั้นยังช่วยในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ดีขึ้น เสริมสุขภาพบำรุง ผิวพรรณ รวมทั้งเส้นผมและเล็บโดยการเพิ่ม Protein Collagen ให้มากขึ้น และยัง สามารถช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้ดีอีกด้วย 

Vitamin E 
เป็นสาร Antioxidants สามารถลดความเสื่อมหรือการทำลายของเซลล์ต่างๆในร่างกายจากอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังช่วยทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ต่างๆ มีความแข็งแรงดีขึ้นเช่นเซลล์ผิวพรรณ, ตา, ตับ, ลูกอัณฑะ ทำให้อวัยวะดังกล่าวนี้มีประสิทธิภาพในการทำงานและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ป้องกันการแข็งตัวของผนังหลอดเลือด ลดระดับความดันโลหิต ป้องกันอาการโรคหัวใจ การทาน Vitamin E ร่วมกับสาร Antioxidants ตัวอื่นเช่น Selenium, Vitamin C, Beta Carotene etc. จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการเป็น Antioxidants ของ Vitamin E เพิ่มขึ้นอีกด้วย 

Selenium 
เป็นเกลือแร่ที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ เพื่อนำมากระตุ้นการสร้าง Enzyme Glutathione Peroxidase ซึ่งมีคุณสมบัติในการเป็นสาร Antioxidants ในร่างกาย

Zinc 
เป็นเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายในการสร้าง Enzyme Super Oxide Dismutase (SOD) ซึ่งมีคุณสมบัติในการเป็น Antioxidants ป้องกันการเสื่อมของเซลล์และลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง 

L-Glutathione 
เป็น Amino Acid ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองในร่างกาย แต่มีปริมาณน้อยอาจไม่เพียงพอในการนำไปสร้างเป็น Enzyme Glutathione Peroxidase ซึ่งเป็นสาร Antioxidants ป้องกันการเกิดของ Free Radicals และป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกายโดยเฉพาะเซลล์ตับ นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการขับล้างสารพิษในกระแสเลือดให้กลายเป็นสารที่ไม่อันตรายและขับออกจากร่างกายทางตับ (Detoxifocation) 

Green Tea Extract 
ช่วยป้องกันมะเร็ง โดยสาร Epigallocatechin (EGCG) จะไปยับยั้งขบวนการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์ ทั้งในระยะเริ่มต้นและระยะกระตุ้น และสามารถลดความเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้โดยฤทธิ์การเป็น Antioxidants ของ EGCG ที่เซลล์ผิวหนังป้องกันการแก่ก่อนวัย (กระแก่) รวมถึงสามารถขยายหลอดเลือด ป้องกันการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ และยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ลดกลิ่นปากได้ดีอีกด้วย 

Grape Seed Extract 
มีสารสำคัญคือ Oligomeric Proanthocyanidins (OPCs, Pycnogenol)ซึ่งเป็นสาร Potent Antioxidants ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ต่างๆได้ดีโดยเฉพาะเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจและเซลล์ผิวหนัง 

Ginkgo Biloba 
มี Flavone Glycosides อยู่ 24%ของ Ginkgo Biloba Extract เป็นสาร Flavonoids จากธรรมชาติออกฤทธิ์เป็น Antioxidantsได้ดี สามารถลดการเสื่อมของเซลล์ได้ดี รวมถึงยังมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดสมอง (Cerebral Vessel) ลดการอุดตันของหลอดเลือดจากเกล็ดเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น ป้องกันภาวะความจำเสื่อม (Alzheimer’s Disease)

 


ขอบคุณที่มาข้อมูล weloveshopping.com

ความเสี่ยงจากการติดเชื้อในที่สาธารณะ

 

 

 

ความเสี่ยงจากการติดเชื้อในที่สาธารณะ

 

 

 

 


          โรคติดต่อ ที่เราควรรู้จักมีอะไรบ้าง เข้าใจอาการกันไว้ เพราะโรคติดต่อเหล่านี้อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

          ขึ้นชื่อว่า "โรค" แล้วคงไม่มีใครอยากเป็นแน่นอน ยิ่งถ้าเป็น "โรคติดต่อ" แล้ว ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวและอันตรายต่อบุคคลรอบข้างเข้าไปอีก ไหนมาดูสิว่า "โรคติดต่อ" คืออะไร และ "โรคติดต่อ" ที่เราควรรู้จักไว้มีอะไรบ้าง

          โรคติดต่อ หมายถึง โรคที่สามารถถ่ายทอดติดต่อถึงกันได้ระหว่างบุคคล โดยมีเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ เป็นสาเหตุของโรค และถึงแม้ว่าเชื้อโรคจะเป็นตัวก่อเหตุ แต่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของมนุษย์ ก็เป็นปัจจัยร่วมที่สำคัญที่จะทำให้เกิดโรคติดต่อนั้น ๆ ขึ้น

          สำหรับในประเทศไทยเป็นบริเวณร้อนชื้น จึงทำให้เชื้อโรคและแมลงที่เป็นพาหะนำโรคเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ได้ง่าย ประเทศเขตร้อนจึงพบโรคติดต่อชนิดต่าง ๆ มากกว่าประเทศที่มีอากาศหนาว โดยโรคที่พบบ่อยในแถบเขตร้อน จะเรียกรวมว่า "โรคเขตร้อน" (Tropical Diseases) ซึ่งอาจเกิดจากเชื้อได้มากมายหลายชนิด นับตั้งแต่เชื้อไวรัสซึ่งมีขนาดเล็กมากลงไปจนถึงสัตว์เซลล์เดียว และหนอนพยาธิต่าง ๆ

 

โรคติดต่อ ในประเทศไทย

          ในปี พ.ศ. 2523 ประเทศไทยได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 โดยได้มีประกาศรัฐมนตรี เรื่องโรคติดต่ออันตราย โรคติดต่อตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และโรคติดต่อที่ต้องแจ้งความ ซึ่งจากข้อมูลในปี 2559 ระบุว่า โรคติดต่อ มีดังนี้

โรคติดต่ออันตราย มีทั้งหมด 12 โรค (ประกาศกระทรวงสาธารณสุขวันที่ 19 พฤษภาคม 2559)

           คือ กาฬโรค, ไข้ทรพิษ, ไข้เลือดออกไครเมียนคองโก, ไข้เวสต์ไนล์, ไข้เหลือง, ไข้ลาสซา, โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์, โรคติดเชื้อไวรัสมาร์บวร์ก, โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา, โรคติดเชื้อไวรัสเฮนดรา, โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส), โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส)

โรคติดต่อ มีทั้งหมด 52 โรค (ประกาศกระทรวงสาธารณสุขวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559) 

          คือ อหิวาตกโรค, กาฬโรค, ไข้ทรพิษ, ไข้เหลือง, ไข้กาฬหลังแอ่น, คอตีบ, ไอกรน, โรคบาดทะยัก, โปลิโอ, ไข้หัด

          ไข้หัดเยอรมัน, โรคคางทูม, ไข้อีสุกอีใส, ไข้หวัดใหญ่, ไข้สมองอักเสบ, ไข้เลือดออก, โรคพิษสุนัขบ้า, โรคตับอักเสบ, โรคตาแดงจากไวรัส, อาหารเป็นพิษ

          โรคบิดแบซิลลารี่ (bacillary dysentery), โรคบิดอมีบา (amoebic dysentery), ไข้รากสาดน้อย, ไข้รากสาดเทียม, ไข้รากสาดใหญ่, สครับไทฟัส (scrub typhus), มูรีนไทฟัส (murine typhus), วัณโรค, โรคเรื้อน, ไข้มาลาเรีย

          แอนแทร็กซ์ (antrax), โรคทริคิโนซิส (trichinosis), โรคคุดทะราด, โรคเลปโตสไปโรซิส (โรคฉี่หนู), ซิฟิลิส, หนองใน, หนองในเทียม, กามโรคของต่อมและท่อน้ำเหลือง, แผลริมอ่อน, แผลกามโรคเรื้อรังที่ขาหนีบ

          โรคเริมที่อวัยวะเพศ, โรคหูดหงอนไก่, โรคไข้กลับซ้ำ, โรคอุจจาระร่วง, โรคเท้าช้าง, โรคเอดส์, โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก, โรคทางเดินหายใจรุนแรงเฉียบพลัน (ซาร์ส), ไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิคุนกุนยา), โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา, โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (โรคเมอร์ส) และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความ มีทั้งหมด 23 โรค ประกอบด้วย



โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความ

          ปัจจุบัน โรคติดต่อที่เป็นอันตรายหลายชนิดถูกควบคุมและกำจัดไปหมดแล้ว เช่น กาฬโรค ไข้ทรพิษ ส่วน โรคติดต่อ บางชนิดยังคงพบอยู่บ้างแต่ลดความรุนแรงของโรคลง เช่น อหิวาตกโรค แต่ก็ยังคงมีโรคติดต่อหลายชนิดปรากฎอยู่ และยังพบโรคติดต่อชนิดใหม่เกิดขึ้นอยู่

โรคติดต่อ ที่ควรรู้จัก

          โรคติดต่อที่ยังพบในปัจจุบันมีอยู่หลายโรค แต่โรคติดต่ออะไรบ้างที่เราพบได้บ่อย และควรรู้จักไว้ มาดูกัน



อหิวาตกโรค

อหิวาตกโรค (Cholera)

          อหิวาตกโรค แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ อหิวาตกโรคชนิดแท้ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย วิบริโอ คอเลอเร ส่วน อหิวาตกโรค ชนิดเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เอลเทอร์ วิบริโอ ซึ่งอยู่ในอุจจาระหรืออาเจียนของผู้ป่วย และแพร่กระจายอยู่ในอาหารและน้ำดื่มได้ โดยมีแมลงวันเป็นตัวพาหะ

          ผู้ป่วยอหิวาตกโรคอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการอย่างอ่อน เช่น ปวดท้อง ท้องเสียท้องร่วงวันละหลายครั้ง แต่ 1-2 วันก็หายเป็นปกติ หรือผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการรุนแรงมาก คือ ถ่ายอุจจาระเหลวคล้ายน้ำซาวข้าว มีกลิ่นคาว อาเจียน ซึ่งการถ่ายบ่อยทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ จนเกิดอาการอ่อนเพลีย ชีพจรเต้นเบาลง และเสียชีวิตในที่สุด

          การป้องกันอหิวาตกโรค ทำได้โดยการรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ร้อน ๆ ใช้ช้อนกลาง และหมั่นล้างมือบ่อย ๆ ดื่มและใช้น้ำที่สะอาด ทำลายขยะแหล่งแพร่เชื้อโรค และใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรคดังกล่าวได้

          อ่านเพิ่มเติมได้ที่ อหิวาตกโรค โรคระบาดที่ยังอันตราย ชะล่าใจอาจเสียชีวิต



โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความ

ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
 
          ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถเกิดได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย และติดต่อกันง่ายมาก ระบาดตลอดทั้งปี แต่มักเกิดในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เช่น ฤดูฝนต่อกับฤดูหนาว

          อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ไข้หวัดใหญ่ อาการใกล้ตัวที่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ย้ำให้ชัดว่าต้องระวัง



โรคตาแดง

โรคตาแดง (Conjunctiva)

              เป็นโรคติดต่อที่แพร่ระบาดได้เร็ว ผ่านการสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยตาแดง และมักระบาดในช่วงหน้าฝน กับเด็ก ๆ ทั้งนี้โรคตาแดง ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ต้องรีบรักษา

          อ่านเพิ่มเติมได้ที่ โรคตาแดง วิธีรักษาโรคตาแดง



ไข้กาฬหลังแอ่น
ภาพจาก webmd.com 

โรคไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Meningitis)

          เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียเฉียบพลัน พื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของโรคสูงติดต่อกันหลายปี ได้แก่ แอฟริกากลางแถบทะเลทรายซาฮารา สามารถแพร่จากคนสู่คนผ่านละอองน้ำมูก น้ำลาย จากปาก จมูกของผู้ที่เป็นพาหะ (ผู้ติดเชื้อแต่ยังไม่มีอาการป่วยแสดงออกมา)

          อาการของผู้เป็นไข้กาฬหลังแอ่นจะปวดศีรษะมาก อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บคอ คอแข็ง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ มักมีผื่นเลือดออกใต้ผิวหนังร่วมกับจ้ำเลือดขึ้นตามตัว แขนขา อาจมีอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย ในรายที่เป็นรุนแรงผู้ป่วยจะซึม ชัก และช็อก เสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ การยืนยันการวินิจฉัยโรค ทำได้โดยการเจาะน้ำไขสันหลังส่งตรวจหาเชื้อ miningococci

          อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคไข้กาฬหลังแอ่นได้ที่  ไข้กาฬหลังแอ่น เช็กอาการโรคติดต่ออันตราย อาจตายได้เฉียบพลัน



โรคติดต่อ


ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis)

          โรคไข้สมองอักเสบ เกิดจากได้เชื้อไวรัสหลายชนิด แต่ในประเทศไทยมักพบจากเชื้อไวรัส Japanese encephalitis หรือเรียกว่า เจอี (JE) ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ อัตราการป่วยตาย อยู่ระหว่างร้อยละ 20-30 ผู้ป่วยส่วนใหญ่คือเด็ก อายุตั้งแต่ 5-10 ปี และพบโรคนี้ได้ชุกชุมในฤดูฝน ในประเทศไทยพบโรคนี้ในภาคเหนือมากกว่าภาคอื่น ๆ

          ผู้ติดเชื้อไข้สมองอักเสบจะไม่แสดงอาการ โดยมีเพียง 1 ใน 300-500 คนเท่านั้นที่จะมีอาการ คือ เป็นไข้ ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย ต่อไปอาการปวดศีรษะจะมากขึ้น อาเจียน ง่วงซึมจนไม่รู้สึกตัว บางรายอาจมีอาการเกร็งชักกระตุกด้วย อาจมีอาการหายใจไม่สม่ำเสมอ ในรายที่เป็นรุนแรงมากจะถึงแก่กรรมประมาณวันที่ 7-9 ของโรค ถ้าพ้นระยะนี้แล้วจะผ่านเข้าระยะฟื้นตัว ระยะเวลาของโรคทั้งหมดประมาณ 4-7 สัปดาห์

          เมื่อหายแล้วประมาณร้อยละ 60 ของผู้ป่วยจะมีความพิการเหลืออยู่ เช่น อัมพาตแบบแข็งเกร็ง (spastic) ของแขนขา มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง มีสติปัญญาเสื่อม ปัจจุบัน โรคไข้สมองอักเสบ ยังรักษาไม่ได้ แต่ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 1 เดือน แล้วฉีดเพิ่มอีก 1 ครั้งหลังจากฉีดเข็มที่ 2 ได้ 1 ปี ควรจะเริ่มให้วัคซีนนี้เมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง พร้อมกับการให้ booster dose DTP และ OPV รวมทั้งหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัด อันเป็นพาหะของโรค



ดีซ่าน ไม่ใช่โรค

ไข้เหลือง (Yellow fever)

          ไข้เหลือง เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการระบาดใหญ่ในทวีปแอฟริกา และอเมริกา มาตั้งแต่ 400 ปีก่อน คำว่า "เหลือง" มาจากอาการตัวเหลืองหรือดีซ่าน (Jaundice) ที่มักพบในผู้ป่วย และยังมีอาการไข้สูงร่วมกับชีพจรเต้นช้าผิดปกติ ปวดกล้ามเนื้อร่วมกับปวดหลัง ปวดศีรษะ หนาวสั่น เบื่ออาหาร ระยะต่อมาจะมีเลือดออกจากปาก จมูก ตา กระเพาะอาหาร ทำให้อาเจียนและถ่ายเป็นเลือด จนถึงไตวาย  มีโปรตีนปัสสาวะ (albuminuria) และปัสสาวะไม่ออก (anuria) ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยระยะโลหิตเป็นพิษจะเสียชีวิตภายใน 10-14 วัน ที่เหลือจะหายเป็นปกติโดยอวัยวะต่าง ๆ ไม่ถูกทำลาย

          ไข้เหลือง มียุงลายเป็นพาหะของโรค และไม่มีการรักษาจำเพาะ เน้นการรักษาตามอาการ และฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค

ไข้รากสาดใหญ่ (Typhus)

          หรือไข้ไทฟัส (Typhus) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียกลุ่มริคเกตเซีย โดยมีแมลงปรสิตเป็นพาหะ โรคไข้รากสาดใหญ่ มี 3 ชนิดคือ

          1. ไข้รากสาดใหญ่ชนิดระบาด มักระบาดหลังสงครามหรือภัยพิบัติ จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง มีผื่นตามลำตัว แขนขา ปวดกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตตก ซึม ไวต่อแสงและเพ้อ ไข้สูง สามารถรักษาได้โดยให้ยาปฏิชีวนะ

          2. ไข้รากสาดใหญ่ประจำถิ่น ติดต่อผ่านทางหมัดที่กัดหนู อาการปวดศีรษะ เป็นไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน รักษาให้หายได้ แต่ในผู้สูงอายุ หรือผู้มีภูมิคุ้มกันอาจเสียชีวิตได้

          3. ไข้รากสาดใหญ่จากป่าละเมาะ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มีไรอ่อนซึ่งพบมากตามป่าละเมาะเป็นพาหะ ภาษาญี่ปุ่นเรียก โรคสึสึกามูชิ



ไข้เลือดออก

ไข้เลือดออก

          ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงลายเป็นพาหะ จึงมักระบาดในประเทศเขตร้อนชื้น โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง มีเลือดออกเป็นจุดตามตัว ตับโต อาจมีอาการปวดท้องและช็อกได้ จึงต้องรีบรักษาโดยเร็ว โดยการเฝ้าระวังภาวะช็อค และเลือดออก

          การป้องกันไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือ การกำจัดยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะไม่ให้ขยายพันธุ์ โดยหมั่นตรวจสอบแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่ยุงจะเพาะพันธุ์อยู่

          อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคไข้เลือดได้ที่ โรคไข้เลือดออก อาการไข้เลือดออก เป็นอย่างไร คลิกเลย



โรคคอตีบ

คอตีบ (Diphtheria)

          โรคคอตีบ หรือ ดิพทีเรีย เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบมีแผ่นเยื่อเกิดขึ้นในลำคอ ในรายที่รุนแรงจะมีการตีบตันของทางเดินหายใจ จึงได้ชื่อว่าโรคคอตีบ และอาจทำให้ถึงตายได้ นอกจากนี้่จากพิษ (exotoxin) ของเชื้อจะทำให้มีอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจ และเส้นประสาทส่วนปลาย

          อาการโรคคอตีบ คือจะเริ่มจากมีไข้ต่ำ ๆ คล้ายหวัด มีอาการไอเสียงก้อง เจ็บคอ เบื่ออาหาร ในเด็กโตอาจจะบ่นเจ็บคอคล้ายกับคออักเสบ บางรายอาจจะพบต่อมน้ำเหลืองที่คอโตด้วย เมื่อตรวจดูในคอพบแผ่นเยื่อสีขาวปนเทาติดแน่นอยู่บริเวณทอนซิล และบริเวณลิ้นไก่ แผ่นเยื่อนี้เกิดจากพิษที่ออกมาทำให้มีการทำลายเนื้อเยื่อ และทำให้มีการตายของเนื้อเยื่อทับซ้อนกันเกิดเป็นแผ่นเยื่อ (membrane)

          คอตีบ สามารถติดต่อกันง่ายผ่านการไอ จามรดกัน หรือพูดคุยระยะใกล้ชิด รวมทั้งการใช้ภาชนะร่วมกัน ส่วนใหญ่มักพบผู้ป่วยโรคคอตีบในชุมชนแออัด หรือในชนบทที่ไม่ได้รับวัคซีน ในประเทศไทยมักพบผู้ติดเชื้อคอตีบเป็นเด็ก อายุ 1-6 ปี

          อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคคอตีบได้ที่ โรคคอตีบ โรคติดต่อตัวร้าย ป้องกันได้ด้วยวัคซีน

ทริคิโนซิส (Trichinosis)

          โรคทริคิโนซิส หรือโรคทริคิเนลโลซิส เป็นโรคพยาธิที่ติดต่อถึงคนโดยการบริโภคเนื้อสัตว์ดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ ในประเทศไทยพบการระบาดในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก โดยการบริโภคเนื้อสุกร และสัตว์ป่าอื่น ๆ เข้าไป อาการที่สำคัญของผู้ป่วย คือ ปวดกล้ามเนื้อ หนังตาบนบวม ตาแดงอักเสบ มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลียมาก ผู้ป่วยมักป่วยอยู่นานหลายเดือนหรืออาจเป็นรุนแรงจนถึงชีวิตได้ การป้องกันคือ รับประทานอาหารที่ปรุงให้สุกแล้ว

บาดทะยัก (Tetanus)

          เป็นโรคติดเชื้อที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางประสาทและกล้ามเนื้อ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Clostidium tetani ซึ่งผลิต exotoxin ที่มีพิษต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อเชื้อเข้าไปทางบาดแผล จะทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เป็น บาดทะยัก กล้ามเนื้อขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากไม่ได้ โรคนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) จากนั้นผู้ป่วยจะคอแข็ง หลังแข็ง ต่อไปจะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อท

อันตรายจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

สาเหตุและปัจจัย เสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

 

 

 

สาเหตุและปัจจัย เสี่ยงของการเกิดมะเร็ง

 

แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ

 

1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือ ภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็ง ส่วนใหญ่ เกิดจากสาเหตุได้แก่

 

1.1 สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อราที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหาร ชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า

1.2 รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดด

1.3 เชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา

1.4 การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ

1.5 จากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น

 

2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการ มาแต่ กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะ ทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่า มะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถ ป้องกัน ได้เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมี ความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิด มะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวด ล้อมแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณ ที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ ทราบว่า ตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่ม อื่น ๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็น มะเร็ง ได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี

 

ปัจจัย เสี่ยงต่อการเป็นโรค มะเร็ง ที่ สำคัญ มี 2 ข้อ

ข้อ แรก คือ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย เช่น สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อน ในอาหาร อากาศ เครื่องดื่ม ยารักษาโรค เป็นต้น รวมทั้งการได้รับรังสี เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และพยาธิบางชนิด

 

ข้อที่สอง คือ ได้แก่ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน และภาวะทุพโภชนา เป็นต้น

 

ผู้ ที่มีความเสี่ยงต่อการ เป็นโรคมะเร็ง มีดังนี้

1. ผู้ที่สูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของระบบหายใจ ได้แก่ ปอด และกล่องเสียง เป็นต้น

2. ผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ตับ ถ้าทั้งดื่มสุราและสูบบุหรี่จัด จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ช่องปากและในลำคอด้วย

3. ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มี สารพิษ ชื่อ อัลฟาทอกซิล ที่พบจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารเช่น ถั่วลิสงป่น เป็นต้น หากรับประทานประจำจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ และหากได้รับทั้ง 2 อย่าง โอกาส จะเป็นมะเร็งตับมากขึ้น

4. ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เต้านม ลำไส้ใหญ่ เยื่อบุมดลูก และต่อมลูกหมาก

5. ผู้ที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ และรับประทานอาหารที่ใส่ดิน ประสิวเป็นประจำ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ

6. ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอันเกิดจากความผิดปกติจากพันธุกรรมหรือติดเชื้อไวรัส เอดส์ จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งของหลอดเลือด เป็นต้น

7. ผู้ที่รับประทานอาหารเค็ม จัด อาหารที่มีส่วนผสมดินประสิวและส่วนไหม้เกรียม ของอาหารเป็นประจำจะเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ อาหารและลำไส้ใหญ่

8. ผู้ที่มีประวัติโรคมะเร็งในครอบครัว อาทิ มะเร็งของจอตา มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดที่ เป็นติ่งเนื้อ เป็นต้น

9. ผู้ที่ตากแดดจัดเป็นประจำจะ ได้รับอันตรายจากแสงแดดที่ มีปริมาณของแสงอุลตรา ไวโอเลต จำนวนมาก มีผลทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้

 

http://www.nci.go.th/th/Knowledge/reasonrisk.html

ความเสี่ยงต่ออาหารพร้อมทาน

 

 

50 อาหารอันตรายต่อสุขภาพ (อาหารขยะ) !

POSTED: เวลา 2:30 น. 26 มีนาคม 2015, UPDATED: 17 ธันวาคม 2016
อาหารขยะ
advertisement M16
 

อาหารอันตราย

เราทุกคนต่างรู้ว่า การรับประทานอาหารที่ดีต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ปฏิบัติตาม ดังนั้นผลที่ตามมาก็คือ ร่างกายที่อ่อนแอและมีแต่โรคภัยไข้เจ็บ ไม่แข็งแรงสมบูรณ์พอที่จะต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ ได้ อีกทั้งอาหารการกินในยุคปัจจุบันนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นไปในทางที่ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะอาหารการกินในปัจจุบันนี้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่าง ๆ มากขึ้นจนน่ากลัว

คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยหน่อยกับการเลือกรับประทานอาหารของคุณ แต่นั่นมันก็ให้ผลดีกับคุณอย่างมากเลยทีเดียว เพราะคุณไม่ต้องมาเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายและทรมานอยู่กับโรคที่คุณไม่ปรารถนา แน่นอนว่าคุณอาจไม่ชอบสักเท่าไรที่เมนูอาหารที่บอกดังต่อไปนี้ เป็นเมนูอาหารที่แสนอันตรายและเป็นเมนูสุดโปรดของคุณแทบทั้งสิ้น T-T แต่ก็อย่าวิตกจนเกินไป…ใช่ว่าคุณจะรับประทานเมนูเสี่ยงอันตรายเหล่านั้นไม่ได้เสียเลย นาน ๆ ครั้งก็พอได้ แต่อย่าบ่อยก็แล้วกัน ^^

อาหารที่มีโทษต่อร่างกาย

  1. สเต๊ก คุณรู้หรือไม่ว่าการจะรับประทานสเต๊กได้อย่างปลอดภัยนั้นต้องนำมาทำให้สุกเสียก่อน แต่ความสุกของสเต๊กนั้นมีอยู่ 5 ระดับ ตรงนี้แหละคือประเด็นสำคัญ เพราะความร้อนจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่แฝงมากับเนื้อสัตว์ได้ และมีความปลอดภัยลดหลั่นกันไปในแต่ละระดับ อย่างระดับที่ 1 ซึ่งเราจะเรียกว่า แรร์ (rare) เป็นระดับที่ถือว่าเสี่ยงต่อสุขภาพมากที่สุด เมื่อรับประทานเข้าไปก็อาจจะก่อให้เกิดโรคพยาธิ และโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยและทางเดินอาหารได้ เพราะระบบการย่อยของร่างกายคนเราไม่สามารถที่จะย่อยอาหารดิบ ๆ ได้ง่าย ซึ่งกว่าร่างกายจะขับออกมาก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 2 วัน คิดดูแล้วกันว่าร่างกายคุณจะทำงานหนักแค่ไหน ส่วนระดับ 2 ที่เรียกว่า มีเดียมแรร์ (medium rare) ระดับนี้จะสุกขึ้นมาหน่อย และระดับ 3 ที่เรียกว่า มีเดียม (medium) ซึ่งเป็นระดับที่สุกมากยิ่งขึ้นแต่ก็ยังดิบอยู่ คุณก็ยังคงเสี่ยงกับพยาธิและเชื้อโรคอยู่ดี ส่วนในระดับ 4 หรือ มีเดียมเวลล์ (medium well) โดยรวมแล้วระดับนี้เนื้อจะเริ่มสุกเกือบทั้งหมด ความปลอดภัยจะมีมากขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นคุณจึงไม่ควรเสี่ยงกับระดับเหล่านี้ แต่ควรหันมารับประทานในระดับ 5 หรือ เวลล์ดัน (well don) แทน เพราะในระดับนี้เนื้อจะสุกทุกส่วนแล้ว และถือว่าเป็นระดับที่ปลอดภัยต่อร่างกายมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่ดี เพราะขึ้นชื่อว่าอาหารย่าง ยังไงมันก็ก่อให้เกิดโรคกับคุณได้อยู่ดี เพราะฉะนั้นหากคุณอยากรับประทานสเต๊กก็ควรเลือกระดับที่ 5 และที่สำคัญไม่ควรรับประทานบ่อยมากนัก เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้
    สเต็ก
  2. ไส้กรอก ตามท้องตลาดจะมีไส้กรอกอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป รวมไปถึงส่วนผสมที่เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่รวมอยู่ด้วยหลายชนิด เช่น สารกันบูดที่มีไว้เพื่อยืดอายุของไส้กรอกให้นานยิ่งขึ้น, สารไนไตรท์ ที่ช่วยให้ไส้กรอกเหนียวนุ่ม หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็จะเกิดการสะสมในร่างกายจนคุณเป็นโรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ และเนื้องอกในสมอง แต่ความอันตรายยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะอย่าลืมว่าไส้กรอกจะไม่สามารถขึ้นรูปเป็นแท่งยาวถ้าไม่มี “ถุงหลอด” แน่นอนว่าเจ้าถุงหลอดนี้คงต้องไม่ธรรมดาแน่ เพราะมันผลิตมาจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ซึ่งมีสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากมีไขมันเป็นส่วนประกอบอยู่มาก และเมื่อคุณนำไปย่างหรือปิ้งแล้วล่ะก็ จะทำให้เกิดสารพิษที่น่ากลัวที่เรียกว่า “อะคริลิไมด์” (Acrylimides) ซึ่งก็เป็นสารก่อมะเร็งเช่นกัน ดูสิ…แค่ไส้กรอกเมนูเดียว คุณก็ได้รับสารก่อมะเร็งมากมายแล้ว T-T
  3. แฮมเบอร์เกอร์ คุณรู้หรือไม่ว่า แฮมเบอร์เกอร์นั้นอุดมไปด้วยเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในระหว่างขบวนการทำ (รอเพื่อที่จะนำเนื้อแฮมเบอร์เกอร์เหล่านั้นมาปรุงแต่งรสชาติ) ทำให้เกิดการเน่าเสีย ผู้ผลิตบางรายจึงนิยมใช้สารเคมีบางชนิดเข้ามาช่วยในการกำจัดกลิ่นและสีที่จะเปลี่ยนไปของเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ ส่วนความอร่อยของแฮมเบอร์เกอร์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อันตราย เพราะความอร่อยนั้นมาจาก “ผงชูรส” นั่นเอง โดยสารเคมีที่มีอยู่ในผงชูรสจะทำให้คุณวิงเวียนศีรษะ คอแห้ง เกิดอาการแพ้ และมันยังทำให้คุณอ้วนได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองก็เป็นบ่อเกิดของโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารและอาจกลายเป็นโรคมะเร็งในเวลาต่อมาได้ ทางที่ดีคุณควรรับประทานมันให้น้อยลง หรือไม่รับประทานเลยก็จะยิ่งดีต่อร่างกายของคุณ
  4. เฟรนช์ฟรายส์ เมนูอุปสรรคความสวยของผู้หญิงอย่างแท้จริง ! ด้วยการทอดที่ต้องใช้น้ำมันเป็นจำนวนมาก มันจึงทำให้คุณอ้วนได้ไม่ยากนัก และการทอดมันฝรั่งนั้นจะต้องใช้ความร้อนสูง และเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงแล้ว สารเคมีที่ชื่อว่า “อะคริลิไมด์” ก็จะปรากกฏตัวออกมา ซึ่งเจ้าสารนี้มันเป็นสารก่อมะเร็ง อีกทั้งน้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำไปมาตลอดวัน จะทำให้เกิดการ “ออกซิไดส์” และทำให้เกิดสารปนเปื้อนในมันฝรั่งทอด และส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ทำให้ร่างกายได้รับสารก่อมะเร็งในที่สุด ถ้าอยากกินจริง ๆ คุณควรซื้อมันฝรั่งมาทอดเองที่บ้านด้วยน้ำมันใหม่ก็ดูจะปลอดภัยขึ้นมาหน่อย
    เฟรนช์ฟรายส์
  5. พิซซ่า อาหารที่ประกอบไปด้วยเนยหรือชีส หากรับประทานมาก ๆ ก็อาจทำให้อ้วนได้ง่าย ๆ แป้งที่นำมาใช้ทำก็เป็นแป้งขัดสีที่แทบจะไม่มีวิตามินและเกลือแร่หลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนขั้นตอนการอบพิซซ่าที่ต้องใช้ความร้อนสูงยังทำให้เกิดสารพิษ “อะคริลิไมด์” ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย อีกทั้งการเพิ่มส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปบนหน้าพิซซ่าไม่ว่าจะเป็นไส้กรอกหรือเบคอน รวมไปถึงไขมันต่าง ๆ ร่างกายก็ยิ่งพบกับความเสี่ยงต่อสุขภาพสูงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคอ้วน และโรคต่าง ๆ อีกมากมาย
  6. ไก่ทอด ทราบหรือไม่ว่า การรับประทานไก่ทอดแต่ละชิ้น คุณจะได้รับพลังงานจากมันมากถึง 340 แคลอรีเลยทีเดียว อีกทั้งยังได้รับไขมันที่เกินขนาดจากไก่ทอดและแป้งขนมปังกรอบซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน และยังมีสารปนเปื้อนประเภทสารอะลูมิเนียมในไก่ทอด ที่เป็นอันตรายอย่างมากต่อระบบการทำงานของสมองและระบบเมตาบอลิซึมในร่างกาย นอกจากนี้รสชาติที่กลมกล่อมก็อาจต้องแลกมาด้วยการปรุงรสด้วยผงชูรสที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อสะสมอยู่ในร่างกายมากขึ้นจนถึงระดับที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้ คราวนี้ล่ะ…โรคต่าง ๆ ก็จะถามหาคุณแล้ว และแน่นอนโรคมะเร็งคือโรคแรกที่จะมาถามหาคุณ !
    ไก่ทอด
  7. เบคอน / แฮม เบคอนหรือความจริงแล้วก็คือ หมูสามชั้นติดมันที่ถูกสไลด์ให้เป็นแผ่นบางนั่นเอง แน่นอนว่ามันต้องอุดมไปด้วยไขมัน ไขมัน และไขมัน ! ที่คุณอาจมีสิทธิ์อ้วนได้แบบงง ๆ และคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก็อาจอุดตันจนก่อให้เกิดโรคหัวใจได้โดยที่คุณไม่ตั้งใจ แถมเบคอนยังมีส่วนผสมของดินประสิว ซึ่งอาจเปลี่ยนเป็น “สารไรโตรซามีน” สารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย ส่วนแฮมก็ใช่ย่อย เพราะมีทั้งไขมัน สารกันบูด และสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นตัวก่อมะเร็ง เช่นเดียวกับเบคอนและไส้กรอก
  8. กากหมู สิ่งที่คุณได้นอกจากความอร่อยมันก็คือ ไขมันล้วน ๆ ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะพวกมันจะเข้าไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูงจนอาจทำให้เส้นเลือดในสมองแตก โรคหลอดเลือดตีบตัน และนำไปสู่สาเหตุการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และหัวใจวายในที่สุด นอกจากนี้ร่างกายของคุณยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด ดูสิว่ามันน่ากลัวแค่ไหน !
  9. เนื้อวัว / เนื้อหมู / เนื้อไก่ / เนื้อปลา ความจริงแล้วมนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืชมาแต่ไหนแต่ไร ร่างกายจึงถูกออกแบบมาให้รองรับอาหารประเภทพืชผักผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์ แต่ใครจะสนใจ…ก็ในเมื่อเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานอยู่นั้นอร่อยกว่าเห็น ๆ นั่นแหละคือสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่ตามมามากมาย เนื้อสัตว์นั้นเป็นอาหารอันตรายที่เราอาจคาดไม่ถึง เพราะพวกมันเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมของมนุษย์และเซลล์มะเร็ง และมีสารพิษต่าง ๆ มากมายที่ก่อให้เกิดอันตรายกับร่างกาย คุณรู้หรือไม่ว่าเนื้อสัตว์ที่เรารับประทานกันอยู่ทุกวันนี้มันมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายอยู่มากแค่ไหน อย่างแรกเลยก็คือ สารเร่งเนื้อแดง สาเหตุของโรคหัวใจ, ยาปฏิชีวนะประเภทคลอแรมแฟนิคอล (Chloramphenicon) และยาในกลุ่มไนโตรฟูแลม (Nitrofurams) ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสารเคมีอื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นเองจากสัตว์ขณะที่พวกมันกำลังถูกฆ่า ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งด้วยเช่นกัน และเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ คนกลุ่มที่บริโภคเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียวนั้นจะมีอายุสั้นมากจนน่าตกใจ อย่างชาวเอสกิโมที่บริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักก็มีอายุเพียง 27 ปีเท่านั้น !! ในทางกลับกันกลุ่มคนที่บริโภคแต่พืชผักผลไม้อย่างเดียว ล้วนมีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวราว 110 ปี !! คราวนี้คุณพอจะเห็นถึงความแตกต่างของการบริโภคขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง ?
    อาหารให้โทษต่อร่างกาย
  10. เนื้อบด / หมูบด / ไก่บด / เนื้อปลาขูด ในเนื้อบดสำเร็จรูปเหล่านี้จะมีสารบอแรกซ์เป็นส่วนผสมอยู่ เมื่อร่างกายได้รับสารบอแรกซ์สะสมมากเข้า อาการผิดปกติต่าง ๆ ก็จะแสดงออกมา ที่เห็นได้ชัดก็คือ คุณจะเบื่ออาหาร ร่างกายอ่อนเพลีย ผิวหนัง ตับ ไต และเยื่อตามีอาการอักเสบ หนังตาบวม น้ำหนักตัวลด และมีอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (มิน่าล่ะ…) และอาการของคุณจะหนักมากขึ้นถึงขั้นเสียชีวิต เพราะฉะนั้นคุณไม่ควรเสี่ยงกับความสะดวกสบายแบบสำเร็จรูปจะดีกว่า แต่ให้เปลี่ยนมาซื้อแบบเป็นชิ้น ๆ และนำมาสับเองก็ดูจะปลอดภัยกว่า แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยด้วย
  11. ลูกชิ้นเนื้อ / ลูกชิ้นหมู / ลูกชิ้นปลา ก็ทำนองเดียวกันกับเนื้อบดทั้งหลาย เพราะมีส่วนผสมของสารบอแรกซ์อยู่ด้วยนั่นเอง อย่างที่บอกไปถึงโทษที่รุนแรงของสารบอแรกซ์ พวกมันจะออกฤทธิ์ทำร้ายคุณอย่างช้า ๆ และเมื่อพลังทำลายของมันมีมากพอ คราวนี้ล่ะคุณเอ๋ย…ตัวใครตัวมันได้เลย ยิ่งถ้าได้รับเข้าไปในปริมาณมากเพียงครั้งเดียวก็อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที แต่ก็ใช่ว่าคุณจะรับประทานไม่ได้เลยในชาตินี้ เพราะยังมีร้านค้าอีกหลายร้านที่เห็นถึงความสำคัญของผู้บริโภค เขาจึงไม่ใส่สารบอแรกซ์ลงไป… นั่นแหละจึงการันตีว่าคุณจะรับประทานได้อย่างปลอดภัย
  12. ลาบดิบ / แหนบดิบ / ลู่ดิบ หลายคนมักเข้าใจเพียงแค่บีบน้ำมะนาวหรือเหล้าลงในเนื้อดิบ ๆ ก็จะช่วยฆ่าเชื้อโรคหรือฆ่าพยาธิให้ตายได้ นั่นเป็นความคิดที่ผิด !! ดังนั้นสิ่งที่พวกเขารับประทานเข้าไปก็คืออาหารดิบที่เต็มไปด้วยพยาธิและเชื้อโรค ซึ่งเสี่ยงต่อระบบทางเดินอาหารอย่างมาก เพราะเหล่าพยาธิจะพากันไปวางไข่ในลำไส้ของคุณอย่างสบายใจเฉิบ ! และมันจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณได้นานถึง 24 ปี !! ปีนะไม่ใช่วัน อีกทั้งคุณยังได้รับโรคต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย เช่น โรคท้องร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคแอนแทรกซ์ โรคอหิวาตกโรค โรคบิด โรคสเตรปโตคอกคัสซูอิส โรคเอ็นเทอริก โรคไทฟอยด์ โรคตับอักเสบชนิดเอ โรคหูหนวก ตาบอด และคุณจะเสียชีวิตในที่สุด หากร่างกายของคุณได้รับพยาธิทั้ง 3 ชนิดนี้เข้าไป ได้แก่ พยาธิตัวกลม (ทริคิโนซีส), พยาธิตัวตืด และพยาธิใบไม้ เพราะพวกมันจะชอนไชเข้าสู่กระแสเลือด ไชไปจนถึงสมองทำให้สมองอักเสบ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ชักกระตุก และหมดสติ ไชเข้าลำไส้เข้าไปแย่งดูดซึมอาหารจนทำให้คุณขาดสารอาหาร อาเจียน คลื่นไส้ ปวดท้องรุนแรง ถ่ายเหลว และซูบผอม ยิ่งถ้าพวกมันแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นจะยิ่งทำให้ลำไส้ของคุณอุดตัน และถ้าไชเข้าปอดเมื่อไหร่ ปอดก็จะอักเสบ และเสียชีวิตได้ในที่สุด
    ลาบดิบ
  13. อาหารทอด / ปิ้ง / ย่าง การทอด ปิ้ง หรือย่างอาหารที่ใช้ความร้อนสูงจะทำให้เกิด “สารอะคริลาไมด์” ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งช่องปาก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารอันตรายที่เกิดจากการทอด ปิ้ง หรือย่างอีกหลายชนิดด้วยกัน เช่น สารไนโตรซามีน ที่มักจะแฝงตัวอยู่ในปลาหมึกย่างและปลาทะเลย่าง ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งตับ มะเร็งไต มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหาร, สารกลุ่มพัยโรลัยเซต เป็นสารที่เกิดจากการใช้ความร้อนสูง พวกมันจะอยู่ในส่วนที่เป็นสีดำที่ไหม้เกรียมของอาหาร สารตัวนี้มีอันตรายอย่างมากต่อ DNA ในร่างกาย เพราะมันจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนกลายเป็นเซลล

Risk of Health 9

 

 

 

ผลกระทบของสารเคมีที่มีต่อสุขภาพ


   ปัจจัยที่ทำให้สารเคมีมีผลต่อสุขภาพของคน จากการศึกษาของ Dr.Helen Marphy ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพิษวิทยา จากโครงการ Community IPM จาก FAO ประเทศอินโดนีเซีย พบว่าปัจจัยที่มีความเสี่ยงของสุขภาพของคนอันดับต้น ๆ คือ

   1. เกษตรกรใช้สารเคมีชนิดที่องค์การ WHO จำแนกไว้ในกลุ่ม 1a และ 1b คือ ที่มีพิษร้ายแรงยิ่ง (Extremely toxic) และมีพิษร้ายแรงมาก (Very Highly toxic) ตามลำดับ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงทำให้เกิดการเจ็บป่วยแก่เกษตรกร ซึ่งใช้สารพิษ โดยเฉพาะสารทั้งสองกลุ่ม ดังกล่าว

   2. การผสมสารเคมีหลายชนิดฉีดพ่นในครั้งเดียว ซึ่งเป็นลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้มข้นสูง เกิดการแปรสภาพโครงสร้างของสารเคมี เมื่อเกิดการเจ็บป่วยแพทย์ไม่สามารถรักษาคนไข้ได้เนื่องจากไม่มียารักษาโดยตรง ทำให้คนไข้มีโอกาสเสียชีวิตสูง

   3. ความถี่ของการฉีดพ่นสารเคมี ซึ่งหมายถึงจำนวนครั้งที่เกษตรกรฉีดพ่น เมื่อฉีดพ่นบ่อยโอกาสที่จะสัมผัสสารเคมีก็เป็นไปตามจำนวนครั้งที่ฉีดพ่น ทำให้ผู้ฉีดพ่นได้รับสารเคมีในปริมาณที่มากและสะสมในร่างกายและผลผลิต

   4. การสัมผัสสารเคมีของร่างกายผู้ฉีดพ่น บริเวณผิวหนังเป็นพื้นที่ ๆ มากที่สุดของร่างกาย หากผู้ฉีดพ่นสารเคมีไม่มีการป้องกัน หรือเสื้อผ้าที่เปียกสารเคมี และโดยเฉพาะบริเวณที่มือและขาของผู้ฉีดพ่น ทำให้มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้เพราะสารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชถูกผลิตมาให้ทำลายแมลงโดยการทะลุทะลวง หรือดูดซึมเข้าทางผิวหนังของแมลง รวมทั้งให้แมลงกินแล้วตาย ดังนั้น ผิวหนังของคนที่มีความอ่อนนุ่มกว่าผิวหนังของแมลงง่ายต่อการดูดซึมเข้าไปทางต่อมเหงื่อนอกเหนือจากการสูดละอองเข้าทางจมูกโดยตรง จึงทำให้มีความเสี่ยงอันตรายมากกว่าแมลงมากมาย

   5. พฤติกรรมการเก็บสารเคมี และทำลายภาชนะบรรจุไม่ถูกต้อง ทำให้อันตรายต่อผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ และสัตว์เลี้ยง

   องค์การอนามัยโลกได้จัดลำดับความรุนแรงของสารเคมีในรูปของการจัดค่า LD50 ซึ่งค่า LD50 นี้หมายถึงระดับความเป็นพิษต่อร่างกายของมนุษย์ โดยคำนวณบนฐานของการทดลองกับหนู ซึ่งจะคิดจากปริมาณของสารเคมีเป็นมิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัวหนูเป็นกิโลกรัม ที่สามารถมีผลต่อการฆ่าหนูจำนวน 50% ของหนูทดลองทั้งหมด

   ระดับความรุนแรงจากพิษของสารเคมีในแต่ละระดับ สามารถมองรายละเอียดในรูปของปริมาณของสารเคมี ซึ่งมีผลต่อการทดลองในหนูตามรายละเอียดในตารางต่อไปนี้



หมายเหตุ ข้อมูลจากโครงการนานาชาติเพื่อการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัย, การจัดลำดับความรุนแรงของพิษจากสารเคมีขององค์การอนามัยโลกและแนวทางสู่การจัดลำดับความเป็นพิษ 1996 – 1997

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดลำดับความรุนแรงจากพิษสารเคมีโดยจำแนกดังนี้ไว้ดังนี้

   องค์การอนามัยโลกได้จำแนกประเภทของสารเคมีตามชื่อสามัญ (Common Name) ของสารเคมีที่เข้าไปมีผลต่อร่างกายมนุษย์ ซึ่งการจำแนกโดยทั่วไปนั้นจะสอดคล้องกับค่า LD50 ซึ่งกล่าวถึงแล้วในตอนต้น โดยแบ่งเป็น 5 ระดับความรุนแรงดังต่อไปนี้

   1a = ระดับอันตรายร้ายแรงยิ่ง
   1b = ระดับอันตรายร้ายแรงมาก
   II = ระดับอันตรายปานกลาง
   III = ระดับอันตรายน้อย
   IV = ระดับอันตรายน้อยที่สุด

สารเคมีมีหลายประเภท สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ตามผลที่มีต่อร่างกายของมนุษย์ดังนี้

   1. ออแกนโนฟอสเฟส (OP) มีผลต่อระบบประสาท ซึ่งส่งผลต่อร่างกายในระยะยาว
   2. คาร์บาเมต (C) มีผลต่อระบบประสาทในระยะสั้น
   3. ออการ์โนคลอรีน (OC) มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางในระยะยาว
   4. ไพรีทรอยต์ (PY) สร้างความระคายเคื่องต่อร่างกายภายนอก
   5. ไธโอคาร์บาเมต (TC) สร้างความระคายเคืองต่อร่างกายภายนอกเช่น ตา ผิวหนัง
   6. พาราควอท (P) เป็นสารกำจัดวัชพืช สร้างความระคายเคืองต่อผิวหนัง แต่หากเข้าสู่ระบบการไหลเวียนของโลหิต ผ่านทางผิวหนังหรือบาดแผล จะส่งผลรุนแรงต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญภายในร่างกาย เช่น ตับ และไต

ออแกนโนฟอสเฟส (Organophosphates : OP)

   ส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาท เนื่องจากสารเคมีตัวนี้เมื่อเข้าไปสู่ร่างกาย จะติดเกาะอยู่กับเอนไซม์ในร่างกายที่ชื่อ ACHE-acetylcholinesterase ที่ทำหน้าที่ปิดสะพานการเชื่อมต่อระหว่างระบบประสาทกับอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เมื่อเอนไซม์ ACHE ไม่สามารถปิดสะพานเชื่อมจากระบบประสาทกับอวัยวะในร่างกายได้ ก็ทำให้เกิดการทำงานมากกว่าปกติอวัยวะเหล่านั้น เช่น กล้ามเนื้อที่ทำงานมากเกินไป ทำให้ขาสั่นตลอดเวลา หรือน้ำลาย น้ำตา หรือเหงื่อที่ออกมากผิดปกติ จากการทำงานมากเกินไปของต่อมเหล่านี้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในช่วง 30 นาทีหลังรับสารเคมีและอาจมีผลต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง ซึ่งในตารางต่อไปนี้จะเป็นรายละเอียดของอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากสารเคมีกลุ่มนี้




คาร์บาเมต (Carbamates : C)

   มีผลกระทบทำนองเดียวกับออร์แกนโนฟอสเฟต คือ หยุดการทำงานของเอนไซม์ ACHE-acetylcholinesterase และทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานมากเกินไป อาการเกิดขึ้นเร็วกว่า (ตั้งแต่ 15 นาที หลังรับสารเคมี) แต่ก็ต่อเนื่องอยู่ราว ๆ 3 ชั่วโมง อาการโดยทั่ว ๆ ไปก็เหมือนกันแต่อาจพบอาหารต่อไปนี้น้อยกว่า

   - เกร็ง, ชัก
   - หมดสติ
   - ช็อก

ออแกนโนคลอรีน (Organochiorines : OC)

   มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยที่เซลล์ไขมันในร่างกายจะดูดซับสารเคมีชนิดนี้ไว้ ทำให้การตกค้างในร่างกายอยู่ในระยะยาวกว่า และที่สำคัญจะมีผลต่อความเป็นพิษในน้ำนมของผู้ที่เป็นแม่ ผลเกิดขึ้นตั้งแต่ 1 ชั่วโมง หลังรับสารเคมีและอาจต่อเนื่องถึง 48 ชั่วโมง สารในกลุ่มนี้บางตัว เช่น เอ็นโดรซัลเฟน สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายและรวดเร็ว โดยผ่านทางผิวหนัง อย่างไรก็ตาม เซลล์ประสาทที่กระตุ้นการทำงานของต่อมต่าง ๆ ไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นเราจึงไม่พบอาการบางอย่างต่อไปนี้
   - น้ำลายไหลมาก
   - น้ำตาไหลมาก
   - เหงื่อออกมาก
   - หนังตากระตุก

แต่อาการต่อไปนี้สามารถพบได้ เพราะเป็นผลมาจากผลกระทบต่อการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
   - กล้ามเนื้ออ่อนล้า
   - เกร็งชัก
   - เวียนศีรษะ
   - อาเจียน
   - ปวดศีรษะ
   - มือสั่น
   - มือขาชา
   - เดินโซเซ
   - คลื่นไส้
   - หงุดหงิด / กระวนกระวาย
   - หมดสติ

   มีการศึกษาพบว่า สารเคมีกลุ่มนี้จะสะสมอยู่ในบริเวณที่เป็นไขมันของร่างกายเป็นสารก่อมะเร็ง มีผลต่อต่อมต่าง ๆ ในร่างกาย ทำให้เกิดการสับสนทางเพศในหญิงมีครรภ์ ลูกที่เกิดอาจมีความผิดปกติทางเพศหรือเบี่ยงเบนเพศได้

ไพรีธรอยด์ (Pyrethrioids : PY)

   สร้างความระคายเคืองต่อตา ผิวหนังและทางเดินหายใจ อาการมีผลอยู่ระหว่าง 1 – 2 ชั่วโมง ซึ่งจะปรากฎอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

รับสารเคมีในภาวะปกติ
   

- ชา
   

- เจ็บคอ
   

- หายใจถี่
   

- แสบจมูก
   

- คอแห้ง
   

- คัน

หากเข้าสู่ระบบการย่อยอาหาร
   

- หมดสติ / ช็อก
   

- เกร็ง, ชัก

หากรับสารในปริมาณสูง
   

- อาเจียน
   

- หนังตากระตุก
   

- ท้องร่วง
   

- เดินโซเซ
   

- น้ำลายไหลผิดปกติ
   

- หงุดหงิด

ไธโอคาร์บาเมต (Thiocarbamates : TC)

   ส่งผลลักษณะเดียวกันกับไพรีธรอยด์ กล่าวคือ สร้างความระคายเคืองต่อผิวหนังตา และระบบการหายใจ ซึ่งอาการจะปรากฎทันที เมื่อรับสารเคมี

ระบบการหายใจ
   

- คอแห้ง
   

แสบจมูก
   

เจ็บคอ
   

ไอ

ตา
   

เคืองตา
   

ตาแดง

ผิวหนัง
   

คัน
   

ผิวหนังตกสะเก็ด
   

ตุ่มขาวบนผิวหนัง
   

ผื่นแดง

พาราควอท (Paraquat : P)

   เป็นพิษอย่างมากต่อผิวหนังและเยื่อบุ (Mucous Membranes) ซึ่งอยู่ในปาก จมูกและตา อย่างไรก็ตาม โมเลกุลของพาราควอทมีขนาดใหญ่เกินไปที่จะซึมเข้าร่างกายทางผิวหนัง แต่หากร่างกายมีบาดแผล พาราควอทจะเข้าสู่ร่างกายทางเส้นเลือดและส่งผลอย่างรุนแรงต่อการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น ปอด ไต ซึ่งหากเข้าสู่ร่างกายโดยตรงทางปาก ทำให้เกิดอาการวายของอวัยวะสำคัญ เช่น ไต ปอด ได้ พบว่าเกษตรกรบางรายเล็บเท้ามือหลุด เนื่องจากการสัมผัสกับสารพาราควอทโดยตรง ห้ามทำให้ผู้รับสารพาราควอทอาเจียนเด็ดขาด

ผิวหนัง
   

- แห้ง, แตก
   

พุพอง
   

ผื่นแดง
   

แผลมีหนอง

เล็บ
   

เล็บซีด
   

เล็บหลุด
   

หักง่าย
     

ระบบทางเดินหายใจ
   

ไอ
   

เจ็บคอ
   

เลือดกำเดาไหล
     

ตา
   

เยื่อบุตาอักเสบ (ระคายเคือง)
     
   

ตาบอด
     

ระบบทางเดินอาหาร
   

ตับวาย
     
   

หยุดการหายใจ
     
   

ไตวาย

    

 

 

Suitable

 
  • ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานและผู้สูงอายุ ทั้งชายและหญิง
  • ผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง มีกำลัง มีความกระปรี้กระเปร่า
  • ผู้ที่เผชิญภาวะความเครียดระหว่างวัน มีอาการเหนื่อยล้า และพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่หลับ
  • ผู้ที่ชราภาพไร้เรี่ยวแรง ขาดพละกำลัง
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคง่าย มีภูมิคุ้มกันต่ำ
  • ผู้ที่มีอาการภูมิแพ้และมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ
  • ผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง

วิธีเก็บรักษาควรเก็บยาในซองแคปซูลหรือในผลิตภัณฑ์สำหรับบรรจุยาอยู่เสมอภายใต้อุณหภูมิห้องที่ปราศจากแสงแดดและความชื้น


 
  • เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน
  • ห้ามบริโภค สำหรับผู้มีอาการแพ้เห็ด
    **หากมีอาการผิดปกติหรือมีอาการข้างเคียงหลังรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์โดยด่วน**

 

How to Order

ราคาจัดจำหน่าย

1 กล่อง 1,750 บาท (จัดส่งฟรีEMSทั่วประเทศ)

Promotion พิเศษ 1 กล่องจากเดิม 1,750 บาท เหลือเพียง 1,250 บาท (จัดส่งฟรีEMSทั่วประเทศ)

ช่องทางสั่งซื้อติดต่อ

 Line ID : @one-cap (ต้องมี@ด้วยครับ)

 Facebook : https://www.facebook.com/onecap.supplement/

• ติดต่อHot Lineโทร 085-564-2491

 


ซื้อ วัน-แคป 1 กล่อง








   Total: ฿0

DISTRIBUTED BY
ONE-CAP
55/47 Baan-mai, Pakkret, Nonthaburi Thailand 11120
@ONE-CAP     085-564-2491     ONECAP.SUPPLEMENT     ONECAP.SUPPLEMENT
© ONE-CAP All Rights Reserved.